ไม่รู้จะเสียใจ นี่ละ..กฎเหล็กการใส่เครื่องประดับกับชุดเจ้าสาว

rule-jewelry-and-wedding-dress-web.jpg

เลือกชุดเจ้าสาวเสร็จเรียบร้อย แต่จะขาดเครื่องประดับต่างๆ มันก็จะสวยไม่สุดนะสิ ตุ้มหู สร้อยคอ กำไล มงกุฎ เวลล์ หรือรองเท้าส้นสูง จะใส่ทั้งหมดคงไม่ไหว เครื่องประดับเหล่านี้หากเจ้าสาวเลือกใส่ให้เป็น จะยิ่งเสริมให้ชุดสวยดูมีออร่าสุดๆ ไปเลยละ

 


ทองหรือเงิน สีไหนดีนะ

GRECO-ROMAN-WEDDING-Blue-White-Periwinkle-Wedding1631 (1).jpg

ชุดสีงาช้าง (Ivory) เข้ากับเครื่องประดับสีทองได้ดีเนื่องจากเป็นผ้าที่มีสีครีม ชุดสีขาวแบบขาวสุดๆ แนะนำให้เลือกเครื่องประดับสีเงิน เช่น ทองคำขาว อาจจะเป็นเครื่องประดับที่มีไข่มุกหรือเพชร หากชุดมีดิ้นทองหรือปักสีทอง เช่น ชุดไทยที่มีสไบสีทองจะเข้ากับต่างหูและสร้อยคอสีทองมากกว่าสีเงิน


 

น้อยแต่มาก เรียบแต่โก้

il_570xN.900879871_5id7.jpg

การที่เราใส่เครื่องประดับทุกอย่างที่เรามี ไม่ว่าจะเป็น สร้อย แหวน กำไล ต่างหู ต่างๆ ล้วนจะดึงความสนใจไปซะหมด วิธีที่ดีที่สุดคือให้ลองเลือกจากสไตล์ชุดแต่งงานของคุณดู ถ้าเป็นชุดที่ค่อนข้างผ่าคอลึกอยู่แล้ว จะเลือกใส่สร้อยเข้าไปอีกก็ดูจะมีอะไรให้โชว์บริเวณนั้นเยอะเกินไป แนะนำให้เลือกใส่ตุ้มหูแบบยาวแทน แต่ถ้าชุดของคุณค่อนข้างเรียบสร้อยคออาจช่วยชิวิตคุณไว้ได้ นอกจากชุดแต่งงานแล้วคุณสามารถเลือกเครื่องประดับให้เข้ากับทรงผมได้ด้วย เช่น หากต้องการจะปล่อยผมควรเลือกตุ้มหูแบบติดหูหรือมีเพชรห้อยเล็กน้อย หากเกล้าผมก็ควรจะเลือกตุ้มหูที่ดูมีลูกเล่นหน่อยๆ

 

อยากได้ฟีลแบบในหนัง ใส่เวลล์ดีไหม

Sophie_french_scallop_lace_mantilla_cathedral_veil_ivory_jose_villa_boudoir_bride.jpg

ดูฉากแต่งงานที่เจ้าบ่าวค่อยๆ เปิดผ้าแล้วบรรจงจูบเจ้าสาวก็อดเขินไม่ได้ทุกที แต่ถ้าคิดจะใส่เวลล์แล้วต้องอย่าลืมที่จะดูด้วยว่าสีของผ้าที่ใช้ทำเวลล์จะต้องแมทช์กับชุดแต่งงานของคุณ และถ้าชุดของคุณมีรายละเอียดยิบย่อย ปักนู่นนี่เยอะอยู่แล้ว เราขอแนะนำให้เลือกแบบที่เรียบที่สุด ถ้าชุดของคุณเป็นแบบผ่าหลังก็อย่าลืมเลือกผ้าที่ค่อนข้างบางไม่ต้องมีเลเยอร์อะไรมาก ทั้งนี้ต้องเลือกความยาวของเวลล์ให้เหมาะสมด้วย หากคุณไม่ใช่คนตัวสูงคุณก็สามารถใส่แบบลากพื้นได้ แต่ถ้าเป็นคนสูงความยาวที่ดีคือแค่ข้อศอกหรือปลายนิ้ว จะช่วยให้คุณดูตัวเล็กลงได้

 

จะขาดรองเท้าได้ไงละ

elegant-statement-wedding-shoes-collection-from-harriet-wilde-1-750x500.jpg

แน่นอนว่าทุกคนอย่างใส่รองเท้าสวยๆ แต่จำเป็นหรือ..ที่ต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวด รองเท้าที่เพอร์เฟ็กต์คือรองเท้าที่สวยและใส่สบาย ต้องอย่าลืมว่าคุณจะต้องยืนและเดินนานมากๆ คุณคงไม่อยากจะมาวอแวกับเจ้าบ่าวเรื่องรองเท้าก่อนจะถึงอาฟเตอร์ปาร์ตี้ เลือกรองเท้าส้นสูงที่ทำจากหนังแท้จะให้ความสบายตอนใส่มากกว่าหนังเทียม ก่อนใส่วันงานจริงก็ควรใส่เดินซ้อมในบ้านให้หนังยืดหยุ่นก่อน

5 นิสัย "ฆ่า" ชีวิตคู่

5-personality-that-kills-relationship.jpg

บางครั้งมันก็ง่ายแสนง่ายที่คุณและคู่จะสามารถบอกได้ว่าเรื่องระหว่าง “เรา” มันคงต้องจบ ไม่ว่าจะเป็น การนอกใจ นิสัยที่เข้ากันไม่ได้ ทำร้ายกันทางจิตใจหรือร่างกาย แต่บางทีการเลิกรามันก็ช่างเงียบเหลือเกิน อีกหนึ่งคนค่อยๆ หายไป อีกคนหนึ่งก็นั่งงงต่อไป เราควรจะหันหน้าคุยกันหรือจะให้ความสัมพันธ์นี่มันจบไปดี นี่คือ 5 สัญญาณที่บอกได้ว่าความรักระหว่างคุณกับเขามันควรจบแล้ว

 

คุณไม่แคร์อีกต่อไป

ความสัมพันธ์ต้องการการลงทุน ลงทุนให้ความรักมันงอกงาม แต่ถ้าใครคนใดคนหนึ่งพร้อมจะปล่อยปะละเลย เลิกที่จะหันหน้าเข้าหากัน ไม่แคร์อีกต่อไปว่าอีกฝ่ายจะคิดอย่างไร แต่คุณต้องแยกให้ออกว่าคุณไม่แคร์จริงๆ หรือกำลังประชดฝ่ายตรงข้ามอยู่

 

คุณเหม็นหน้าอีกฝ่าย

ไม่ใช่แค่ไม่ชอบการกระทำของเขาหรือเธอ ความเกลียดของคุณที่มีมันหยั่งรากลึกลงไปในจิตใจ ความนับถือที่คุณมีต่อเขาหรือเธอมันไม่เหลืออีกต่อไป ไม่อยากแม้แต่จะอยู่ใกล้ คุณจะสามารถรู้ได้จากสายตาหรือสัมผัสจากน้ำเสียงที่คุณทั้งคู่ใช้

 

คบกันได้ไม่นาน ทะเลาะกันเรื่องใหญ่ซะแล้ว

โดยปกติแล้ว ความรักแรกเริ่มมักหอมหวานและง่ายที่สุดแล้ว คู่รักทั่วไปจะให้การสนับสนุนกันและกันเป็นอย่างดี อดทนที่จะรอ อดทนทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ เราไม่ได้หมายความว่าการทะเลาะกันเมื่อคบกันเป็นสิ่งที่ผิด แต่หากมันเป็นเรื่องราวใหญ่โตถึงขั้นมีปากเสียงหรือใช้กำลังในช่วงแรกๆ คุณก็มีเกณฑ์จะไปไม่รอดเช่นกัน

 

ให้คุณค่าไม่เท่ากัน

ความรักไม่สามารถชนะทุกสิ่งทุกอย่างได้หรอก หากความต้องการของคุณทั้งคู่มันช่างสวนทางกันเหลือเกิน ยกตัวอย่างเช่น คุณอยากแต่งงาน สร้างครอบครัว และมีลูก แต่คู่ของคุณกลับไม่อยากมีลูกเพราะคิดว่ามันสิ้นเปลือง

 

ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งใน 3 สิ่งต่อไปนี้

ผู้เชี่ยวชาญท่านหนึ่งเคยเขียนหนังสือไว้ว่า ความสัมพันธ์ที่ดีต้องมี 3 สิ่งด้วยกัน 1. คุณทั้งคู่ต้องซื่อสัตย์และรู้สึกจริงจังกับความสัมพันธ์นี้ 2. คุณจะต้องชอบทำกิจกรรมหรืออยากใช้เวลาร่วมกันเหมือนเพื่อน 3. เคมีที่คุณมีต่อกันจะต้องตรงกันเหมือนคู่รัก ถ้าขาดข้อใดเพียงข้อหนึ่งความสัมพันธ์นี้อาจจำเป็นต้องจบลงแล้วละ เช่น คุณรักคู่ของคุณเหมือนเพื่อนสนิท แต่ไม่เคยรู้สึกมีแพชชั่น ไม่เคยรู้สึกอยากมีเซ็กส์ด้วย เป็นต้น

ทำไมแหวนถึง “แทนใจ” ?

wesley-tingey-178030-unsplash.jpg

คุณกำลังมองหาของขวัญแทนใจในโอกาสพิเศษกับคนพิเศษอยู่หรือเปล่า? แหวนเป็นหนึ่งในเครื่องประดับยอดฮิตที่ผู้ชายหลายคนนิยมมอบให้คนรัก ถึงแม้จะยังไม่ถึงขั้นขอแต่งงาน แต่การให้ “แหวนแทนใจ” เราการันตีว่าต้องถูกใจคนรักของคุณแน่นอน เพราะมันแฝงไปด้วยความหมายดีๆ มากมาย

มอบคำมั่นสัญญาด้วยแหวนแทนใจ

แหวนแทนใจที่เราให้แฟนหรืออาจจะเป็นแหวนคู่ ฝรั่งเค้าเรียกกันว่า “Promise Ring” ที่เรียกแบบนี้ก็เพราะมันเป็นสัญลักษณ์ของคำมั่นสัญญาในความรักที่มีให้กัน คู่รักจำนวนมากใช้แหวนนี้เป็นสัญลักษณ์ในการบ่งบอกถึงความสัมพันธ์และการหมั้นหมายในอนาคต และยังมีบางคู่ที่เพียงสวมแหวนนี้เพื่อสะท้อนถึงความจงรักภักดีต่อกันและกัน นอกจากนี้บางคู่ที่ศึกษาดูใจกันมาสักพักแต่ยังไม่พร้อมที่จะแต่งงาน แหวนแทนใจก็สามารถแสดงให้แฟนของคุณเห็นถึงความมุ่งมั่นและจริงจังได้

ข้างขวาหรือข้างซ้าย? ต้องใส่นิ้วไหนกันแน่นะ

การใส่แหวนขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน จะใส่แหวนแทนใจนี้ลงบนนิ้วใดก็ได้ ซึ่งก็มีบางคนที่ไม่ได้ชอบสวมบนนิ้วแต่สวมใส่เป็นสร้อยแทน แต่สำหรับคนที่ยังไม่ได้แต่งงานมักนิยมสวมแหวนนี้กันบนนิ้วนางข้างซ้าย เนื่องจากอยากให้มีความรู้สึกคล้ายคลึงกับธรรมเนียมการสวมแหวนแต่งงานที่สุด จากนั้นเมื่อแต่งงานแล้วจะย้ายไปสวมที่ข้างขวาแทน

ราคาเท่าไหร่ถึงจะเหมาะสม

เนื่องจากคู่รักที่ซื้อแหวนแทนใจหรือแหวนคู่ส่วนใหญ่จะมีอายุน้อยกว่า 25  ปี จึงไม่ค่อยมีใครที่นิยมจ่ายในราคาหลายหมื่นด้วยเหตุผลทางการเงิน ราคาจึงมีตั้งแต่หลักร้อยจนถึงหลักพันแล้วแต่แบบที่ชอบหรือวัสดุที่ใช้

ดังนั้นหากคุณเป็นหญิงสาวที่ได้รับแหวนจากแฟนหนุ่มแล้วละก็ เราขอแสดงความยินดีด้วย! เพราะแน่นอนว่าเค้าไม่ได้แค่คบหาคุณเล่นๆ แต่คิดจริงจังไปถึงมีอนาคตร่วมกันในระยะยาวเลยละ ถ้าจะซื้อแหวนที่ถูกใจและคุณภาพที่มาพร้อมกับราคาก็อย่าลืมนึกถึง Rin&Rin นะคะ : )

สนใจแหวนวงนี้ กดที่ภาพได้เลย

สนใจแหวนวงนี้ กดที่ภาพได้เลย


..สิ่งที่ผู้ชายไม่เคยเข้าใจ..

35748060_702344996776250_1153426605645758464_n.jpg

"เมื่อผมกลับถึงบ้านในคืนนั้น ภรรยาของผมกำลังเสิร์ฟอาหารมื้อค่ำ ผมถือมือของเธอและพูดว่า ผมมีบางสิ่งบางอย่างที่จะบอกคุณ เธอนั่งลงและกินอย่างเงียบ ๆ เป็นอีกครั้งที่ผมสังเกตเห็นความเจ็บปวดในสายตาของเธอ ทันใดนั้นผมก็ไม่รู้ว่าจะพูดต่อไปยังไง ผมแค่รู้ว่าผมจะต้องบอกเธอในสิ่งที่ผมคิดให้ได้ “ผมต้องการหย่า” ผมเริ่มบทสนทนาอย่างเรียบๆ เธอดูไม่ได้สะทกสะท้านกับคำพูดของผม แต่กลับถามผมอย่างสงบ “ทำไม?”

 

ผมหลีกเลี่ยงคำถามของเธอ และนั่นทำให้เธอโกรธ เธอโยนตะเกียบทิ้งและตะโกนมาที่ผม “หน้าตัวเมีย!” คืนนั้นเราไม่ได้พูดคุยกัน เธอร้องไห้ ผมรู้ว่าเธอต้องการที่จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตแต่งงานของเรา แต่ผมคงไม่สามารถจะให้คำตอบที่น่าพอใจกับเธอได้ เธอได้สูญเสียความรักของผมให้กับเจน ผมไม่ได้รักเธออีกต่อไป ผมแค่สงสารเธอ!

 

ผมร่างข้อตกลงการหย่าด้วยความรู้สึกผิดอย่างใหญ่หลวง สัญญาระบุว่าเธอจะเป็นเจ้าของบ้านของเรา รถของเราและสัดส่วนการถือหุ้น 30% บริษัท ของผม เธออ่านมันเผินๆแล้วฉีกมันเป็นชิ้น ผู้หญิงที่ได้ใช้เวลาสิบปีที่ผ่านมาในชีวิตของเธอให้กับผมได้กลายเป็นคนแปลกหน้า ผมรู้สึกเสียใจสำหรับเวลาที่เสียไปของเธอ แต่ผมก็ไม่สามารถกลับคำพูดที่ผมได้ขอหย่ากับเธอ เพราะผมเองก็รักเจนมาก ในที่สุดเธอก็ปล่อยโฮออกมาต่อหน้าผม อย่างที่ผมนึกคาดไว้ก่อนหน้านี้ สำหรับผมการร้องไห้ของเธอเป็นเหมือนการปลดปล่อย ความคิดของการหย่าร้างซึ่งทำให้ผมสับสนมาเป็นเวลาหลายสัปดาห์ ตอนนี้ดูเหมือนจะแน่ชัดและชัดเจนขึ้น

 

วันรุ่งขึ้น ผมกลับมาถึงบ้านดึกมากและพบว่าเธอกำลังเขียนบางอย่างอยู่ที่โต๊ะ ผมไม่ได้ทานอาหารมื้อเย็น แต่ตรงไปยังที่นอนและหลับลงอย่างรวดเร็ว เพราะผมเหนื่อยหลังจากวันที่แสนยุ่งกับเจน เมื่อผมตื่นขึ้นมาเธอยังคงนั่งเขียนอยู่ที่โต๊ะ ผมไม่อยากจะสนใจเธอผมจึงพลิกตัวหนีเพื่อจะนอนต่อ

 

ในตอนเช้า เธอยื่นเงื่อนไขการหย่าร้างของเธอ เธอไม่ได้ต้องการอะไรจากผม แค่ผมจะต้องบอกให้เธอรู้หนึ่งเดือนก่อนที่ผมจะหย่ากับเธอ เธอขอร้องว่าในช่วงเวลาหนึ่งเดือนนั้น เราทั้งคู่จะพยายามดำเนินชีวิตคู่อย่างปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้ เธอให้เหตุผลง่ายๆว่า เพราะลูกชายของเรากำลังจะสอบ และเธอไม่อยากให้การหย่าของเรากระทบกระเทือนการสอบของเขา

 

นี่คือข้อตกลงของเธอกับผม เธอขอให้ผมระลึกถึงวันแต่งงานของเราทั้งคู่และขอให้ผมระลึกถึงช่วงเวลาที่ผมอุ้มเธอเข้าเรือนหอในวันที่เราแต่งงานกันโดยการให้ผมอุ้มเธอออกจากห้องนอนของเราไปยังประตูหน้าบ้านทุกวัน ในช่วงเวลาหนึ่งเดือนสุดท้ายของชีวิตแต่งงานของเรา ผมคิดว่าเธอบ้าไปแล้วแต่ก็ตกลงยอมรับคำขอของเธอ

 

ผมบอกเจนเกี่ยวกับเงื่อนไขการหย่าร้างของภรรยาของผม เจนหัวเราะเสียงดังและคิดว่ามันเป็นเรื่องเหลวไหล ไม่ว่าภรรยาของผมจะใช้มารยาอะไรที่เธอมี มันก็ไม่ทำให้เธอหลีกเลี่ยงการหย่าร้างได้ เจนกล่าวอย่างเหยียดหยาม

 

ผมและภรรยาไม่ได้แตะเนื้อต้องตัวกันมาตั้งแต่ผมแสดงความตั้งใจเรื่องการหย่า ดังนั้นเมื่อผมอุ้มเธอออกไปที่ประตูบ้านเป็นวันแรก เราทั้งคู่จึงดูงุ่มง่าม ลูกชายของเราปรบมืออยู่ด้านหลัง “กำลังอุ้มแม่อยู่เหรอครับ” คำกล่าวของเขาทำให้ผมรู้สึกปวดใจ ระยะทางตั้งแต่ห้องนอนไปที่ห้องนั่งเล่นจนเลยไปที่ประตู ผมเดินกว่าสิบเมตรพร้อมกับเธอในอ้อมแขนของผม เธอปิดตาของเธอและพูดเบา ๆ ; อย่าบอกลูกของเราเกี่ยวกับเรื่องหย่า ผมพยักหน้ารู้สึกอารมณ์เสียบ้าง ผมปล่อยเธอลงที่ด้านนอกประตู เธอไปรอรถประจำทางเพื่อไปทำงาน ผมขับรถคนเดียวไปยังสำนักงาน

 

ในวันที่สอง เราทั้งคู่ต่างเกร็งน้อยลง เธอโน้มตัวบนหน้าอกของผม ผมได้กลิ่นหอมจากเสื้อของเธอ ผมตระหนักว่าผมไม่เคยจ้องมองที่ผู้หญิงคนนี้อย่างละเอียดเป็นเวลานานแล้ว ผมรู้สึกตัวขึ้นมาว่าเธอไม่ได้อ่อนเยาว์อีกต่อไป มีริ้วรอยจางๆบนใบหน้าของเธอ ผมของเธอกำลังเปลี่ยนเป็นสีเทา! การแต่งงานของเราได้ทำให้เธออ่อนแรงลงไป นาทีนั้นผมถามตัวเองว่า ผมทำให้เธอเป็นแบบนี้ได้อย่างไร

 

ในวันที่สี่ เมื่อผมได้อุ้มเธอขึ้น ผมรู้สึกว่าความผูกพันของเรากำลังย้อนกลับมา นี่คือผู้หญิงที่ได้มอบชีวิตตลอดสิบปีที่ผ่านมาของเธอให้ผม ในวันที่ห้าและหก ผมตระหนักว่าความผูกพันของเรายิ่งมากขึ้นไปอีก ผมไม่ได้บอกเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้ ยิ่งนานวันผ่านไป การอุ้มเธอไปที่หน้าประตูก็ยิ่งรู้สึกง่ายดายขึ้น บางทีการออกกำลังกายกับเธอในอ้อมแขนทุกเช้าอาจทำให้ผมแข็งแรงขึ้น

 

เธอเลือกชุดที่เธอจะใส่ในเช้าวันหนึ่ง เธอลองใส่ตัวนั้นตัวนี้อยู่พักใหญ่แต่ก็หาที่ถูกใจไม่ได้ จากนั้นเธอก็ถอนหายใจ “ชุดของฉันหลวมไปหมด” ในตอนนั้นเองที่ผมได้รู้ว่าร่างกายของเธอนั่นเองที่ได้ผ่ายผอมลง นั่นคือเหตุผลว่าทำไมผมถึงสามารถอุ้มเธอได้ง่ายขึ้น

 

ทันใดนั้นผมก็เข้าใจทุกอย่าง ในหัวใจของเธอซ่อนความเจ็บช้ำและขมขื่นไว้มากมาย มือของผมยื่นไปแตะศรีษะของเธอโดยที่ผมไม่ได้ตั้งใจ

 

ลูกชายของเราได้เข้ามาขัดจังหวะ เขาพูดว่าถึงเวลาที่ผมต้องอุ้มเธอออกไปแล้ว การที่ลูกชายของผมได้เห็นผมอุ้มแม่ของเขาออกไปกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขาไปเสียแล้ว ภรรยาของผมกวักเรียกเขาเข้ามาแล้วกอดเขาไว้แน่นผมหันหน้าหนีเพราะกลัวว่าผมจะเปลี่ยนใจเรื่องการหย่าในนาทีสุดท้าย ผมเข้าไปโอบเธอขึ้นมา อุ้มเธอออกไปจากห้องนอน ผ่านห้องนั่งเล่นจนถึงประตู มือของเธอคล้องคอของผมอย่างแผ่วเบาและเป็นธรรมชาติ ผมกอดเธอไว้แน่น ทุกอย่างเกิดขึ้นราวกับวันแต่งงานของเรา

 

แต่น้ำหนักที่เบาโหวงของเธอทำให้ผมเศร้าใจ ในวันสุดท้ายเมื่อผมอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขน ผมแทบจะไม่เดินไม่ออกแม้แต่ก้าวเดียว ลูกชายของเราไปโรงเรียนแล้ว ผมกอดเธอไว้แน่นและกล่าวว่าผมไม่ทันได้สังเกตเห็นว่าชีวิตของเราขาดความใกล้ชิด จากนั้นผมรีบขับรถไปที่สำนักงาน กระโดดออกมาจากรถอย่างรวดเร็วโดยยังไม่ทันจะได้ล็อคประตู ผมกลัวหากผมมัวชักช้า ผมจะเปลี่ยนใจอีก ...ผมเดินขึ้นไปที่ชั้นบน เจนเป็นคนเปิดประตูและผมบอกกับเธอ “ผมขอโทษเจน แต่ผมเปลี่ยนใจเรื่องหย่าแล้ว”

 

เธอมองผมด้วยความงุนงง จากนั้นจึงเอื้อมมือแตะที่หน้าผากของผม คุณไม่สบายรึเปล่า? เธอถาม ผมดึงมือของเธอออก “ขอโทษนะ เจน แต่ผมจะไม่หย่ากับภรรยาของผม ชีวิตแต่งงานของผมมันอาจจะเปลี่ยนเป็นน่าเบื่อเพราะหล่อนและผมไม่ได้ให้ความสำคัญกับรายละเอียดชีวิตของเรา แต่ผมไม่ได้เบื่อชีวิตคู่เพราะเราทั้งสองไม่ได้รักกันแล้ว ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่า ในเมื่อผมโอบกอดเธอไว้ในวันแต่งงานของเรา ผมก็ควรที่จะโอบกอดเธอจนความตายจะพรากเราจากกัน เจนดูเหมือนจะเข้าใจทุกอย่างในทันที เธอตบผมฉาดใหญ่แล้วกระแทกประตูปิด เจนทรุดลงทั้งน้ำตา ผมเดินลงมาชั้นล่างและขับรถออกไป มาถึงที่ร้านดอกไม้ ผมซื้อดอกไม้ช่อหนึ่งเพื่อภรรยาของผม พนักงานสาวที่ร้านถามผมว่าจะให้เธอเขียนข้อความบนบัตรว่าอะไร ผมยิ้มและเขียนว่า “ผมจะอุ้มคุณออกไปที่ประตูทุกเช้า จนกว่าเราจะตายจากกัน”

 

เย็นวันนั้น ผมกลับบ้าน ผมถือดอกไม้ไว้ในมือ ผมมีรอยยิ้มบนใบหน้า ผมวิ่งขึ้นบันได...เพียงเพื่อจะพบภรรยาของผมนอนอยู่บนเตียง เธอไม่หายใจ ภรรยาของผมได้ต่อสู้กับโรคมะเร็งเป็นเวลาหลายเดือน ในขณะที่ผมมัวยุ่งอยู่กับเจนเกินกว่าที่จะรับรู้อาการผิดปกติของเธอ เธอรู้ว่าเธอกำลังจะตายและเธอก็อยากจะช่วยให้ผมหลุดพ้นจากความรู้สึกแย่ๆของลูกชายที่เขาจะมีต่อผมหากว่าเราหย่าจากกัน เพราะว่าอย่างน้อย...ในสายตาของลูกชายผม ผมก็จะยังเป็นสามีที่รักใคร่ดูแลเธอ

 

จริงๆแล้ว รายละเอียดเล็กๆน้อยๆในชีวิตของคุณ คือสิ่งที่มีความสำคัญต่อชีวิตไม่ใช่คฤหาสถ์หลังใหญ่ ไม่ใช่รถไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทองในธนาคาร สิ่งเหล่านี้สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีความสุข แต่ไม่สามารถให้ความสุขในตัวของมันเอง

 

ดังนั้น หาเวลาที่จะอยู่เป็นเพื่อนคนข้างๆคุณ และทำสิ่งเล็ก ๆ เหล่านั้นให้แก่กัน ขอให้มีชีวิตคู่ที่มีความสุข!

 

หากคุณไม่ได้เผยแพร่ข้อความนี้ออกไป คุณก็ไม่ได้เสียหายอะไร

 

แต่ถ้าคุณทำ คุณก็อาจจะช่วยชีวิตคู่ไว้อีกหลายคู่ คนหลายๆคนยอมแพ้ในเรื่องชีวิตคู่ของเขาโดยที่เขาไม่มีทางได้รู้ว่าพวกเขาอยู่ใกล้ความสุขแค่เอื้อม

Rin&Rin เพื่อรอยยิ้มของเมีย

ความรักที่สวยงาม

เรานั่งข้างกองไฟ ขณะที่ท้องฟ้าเริ่มมืดสลัวลงทีละน้อย....
ลมหนาวหอบใบไม้ปลิวลิ่ว บางใบตกลงใกล้ ๆ ปลายเท้าพ่อ
แล้วก็พลิกคว้างจากไป พ่อหักกิ่งไม้แห้งที่กองอยู่ข้าง ๆ โยนลงให้เชื้อไฟ 
ปะทุ...
หอมกลิ่นควันไฟจางเจือ แววตาพ่อมีรอยยิ้มเมื่อถามถึงคนในความรู้สึกของผม
"ตกลงเขามาไม่ได้หรือ"?
"ไม่มาครับ" ผมตอบ พลิกกิ่งไม้เขี่ยวาดพื้นดินเป็นรอย
"ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่" พ่อพูดต่อ มือยังคงหักกิ่งไม้ให้สั้นลง
เพราะเราไม่ได้ต้องการไฟกองใหญ่ ..........

photo-1482355347028-ff60443f60fe.jpg

่ในยามที่อากาศหนาวน้อยกว่าทุกวัน แต่เราต้องการที่นั่งคุยกัน
และบรรยากาศที่นานมาแล้ว เราไม่มีอยู่ในชีวิต .....
"วันนี้ไม่ว่างมา วันหน้าค่อยมาก็ได้" "แต่ผมเสียใจที่ไม่ได้มาพร้อมเขา" 
พ่อหัวเราะ
"เขาก็บอกไม่ใช่หรือว่าถ้ายังมีความตั้งใจ สักวันคงได้มาด้วยกัน"
"แต่ตอนนี้เขาไปทะเลกับคนอื่น" ไฟลุกพลุ่งโพลงขึ้นสูง.....
เมื่อพ่อกอบใบไม้แห้งโปรยลงสองสามใบ แต่แล้วเปลวก็วูบลงอย่างรวดเร็ว
แสงสีสัมเรืองรองระเรื่อ... ผมได้ยินเสียงน้ำในคลองกระซิกไหล 
เสียงไผ่เสียดสีกอแว่ว
แล้วพ่อก็พูดขึ้น "ความรักไม่ได้สำคัญแค่การไปไหนมาไหนด้วยกันไม่ใช่หรือ?"
ผมเงียบไป... นานมากเหลือเกิน ที่ผมใช้ชีวิตผันแปรอยู่ในมหานคร 
ไม่ได้กลับมาบ้าน ....
หรือผมถูกลงทัณฑ์ด้วยบางสิ่งที่เป็นความลับของโลก?
ชีวิตผมจึงระเหระหนตลอดมา......
มหานครไม่ใช่เมืองที่ผมรัก แต่ผมกลับพบว่า มันพันธนาการผมไว้......
แนบแน่นกว่าหนไหน ปีแล้วปีเล่า
ที่ผมสัญจรร่อนเร ่ไปตามที่ชีวิตและการงานจะบันดาล
กระทั่ง.. .ผมได้พบกับใครคนหนึ่ง เธอ ...
หญิงสาวคนที่ผมตั้งใจว่าจะชวนมาบ้านริมคลองด้วยกัน
วันใดก็ได้ที่เธอมีเวลา แต่เธอก็ไม่เคยมีเวลา..
.แม้ในครั้งนี้ที่ผมวาดหวัง นัดหมาย รอคอย ใฝ่เฝ้า 
เย็นแรกที่เดินทางกลับมาถึงบ้านเกิดพร้อมกับกระเป๋าเพียงหนึ่งใบ.... 
ผมจึงเลือกที่จะเล่าเรื่องนี้ให้พ่อฟัง "เขาบอกลูกหรือว่าจะไปไหน .... "?
พ่อถามขึ้น "เปล่าหรอกครับ" ผมตอบ "บังเอิญผมโทรไปหา เขาก่อนจะขึ้นรถ
ถึงได้รู้ว่า เขากำลังจะเดินทางไปทะเลกับคนพิเศษ...ที่เขารู้สึกดี ๆ ด้วย"
"ไปกินเหล้าละสิคืนนั้น"?
"เปล่าพ่อ ผมกลับไปนอนอ่านหนังสือของรุ่งอรุณ ณ สนธยา ...
แต่...ผมอ่านไม่รู้เรื่อง " พ่อหัวเราะอีก "แล้วลูกคิดจะทำอย่างไร"
"นั่นสิฮะพ่อ มีอะไรจะแนะนำผมบ้างไหม?
วิธีที่ผมจะได้เขามา วิธีเหมือนที่พ่อเคยใช้กับแม่ก็ได้" แววตาพ่อกลับหม่นแสงลง 
... พร้อมลมหนาวพัดกรูมา จนเปลวไฟไหวยวบ "นัค" เสียงพ่อต่ำหนัก
"พ่อจะบอกอะไรให้" "อะไรพ่อ"
ผมมองหน้าพ่อ เหมือนสมัยยังเป็นเด็กเล็ก ๆ ที่เฝ้ารอให้พ่อเล่านิทาน ..
"รู้ใช่ไหม ว่าพ่อได้กับแม่ยังไง?"
ผมพยักหน้า ความรักระหว่างพ่อกับแม ่เป็นเรื่องแปลกประหลาดสำหรับผม
แม่เคยเล่าว่า.. .แรกนั้น พ่อกับแม่ไม่ได้รักกันเหมือนหนุ่มสาวทั่วไป
พ่อมีภรรยา มีลูกชายสองคน แต่วันหนึ่ง ภรรยาของพ่อก็เสียชีวิตลง
พี่ ๆ ทั้งสองยัง เด็กนัก อายุไม่กี่ขวบ
เมื่อพ่อจะต้องไปทำงานที่อื่นจึงส่งลูก ๆ ให้หอบข้าวของลอดรั้วมาหาแม่ 
และแม่ก็เลี้ยงพวกเขาไว้จนกระทั่งพ่อกลับมา 
หลังจากนั้นจึงมีการผูกข้อมือกันขึ้น
และแม่ก็อยู่กับพ่อมาตั้งแต่นั้น...
แต่ผมกับพี่น้องไม่เคยรู้สึกเลยว่า พ่อกับแม่ไม่ได้รักกัน
ในบ้านของเรามีความรักอยู่มากพอ 
และรักนั้นเองที่หล่อหลอมให้พวกเราทุกคนเติบโตมา ผมเชื่อมั่นอย่างนั้น..
.เพราะแม้วันที่แม่จากพวกเราไป พ่อก็อยู่ เคียงข้างแม่จนลมหายใจสุดท้าย 
ผมศรัทธาในรักนั้น...และอยากรู้นักว่า 
พ่อทำอย่างไรจึงเอาชนะใจแม่ได้ก่อนแต่งงานกัน..
"แม่ไม่เคยรักพ่อหรอกนัค ถ้าหมายถึงรักอย่างคนหนุ่มสาว
พ่อพูดขึ้น ผมชะงักไป... "ลูกรู้ไหม...
แม่เขามีกล่องไม้เก่า ๆ อยู่ใบหนึ่ง รู้ไหมว่าในนั้นมีอะไร 
มีจดหมายนับสิบนับร้อยฉบับที่เป็นของผู้ชายคนหนึ่ง คนที่แม่รักมาตลอดชีวิต
แต่ก็ไกลกันตลอดชีวิต" "หมายความว่ายังไงฮะพ่อ"
"เรื่องมันเป็นอย่างนี้.. ." พ่อมองเหม่อไปข้างหน้า ......
"ก่อนหน้าที่แม่จะมาอยู่กับพ่อ เขามีคนรักอยู่แล้วคนหนึ่ง 
หวังกันว่าจะแต่งงานเมื่อพร้อม...
เขารักกันมาตั้งห้าปี เวลาไม่ใช่น้อย นะลูก....
แต่แล้วพ่อก็ก้าวเข้ามา พร้อมกับเด็ก ๆ อันเป็นเงื่อนไขที่แม่เขาจำใจต้องยอม
คำบอกเล่าของพ่อ ทำให้ผมมิอาจรีบเอ่ยสิ่งใดออกไป....
ห่างออกไป ความมืดรำร่ายลงมาโอบคลุมทั่วทุกบริเวณ
มองหาสิ่งใดคงยากจะเห็น "แม่เขาไม่ปฏิเสธ 
ไม่ใช่เพราะเขาเกรงใจพ่อหรือถูกใครบังคับ แต่เป็นเพราะเขา เป็นคนมีจิตใจสวยงาม 

photo-1530189260610-2400eafdac9e.jpg

รู้ไหมลูก...
พ่อเคยขอความรักแม่หลายต่อหลายครั้ง แต่เขาไม่เคยสนใจพ่อเลย ...
ทั้ง ๆ ที่พ่อรักแม่มาตั้งแต่ก่อนจะแต่งงานเสียอีก....
"แล้วทำไมพ่อแต่งงานกับคนอื่นก่อน?" "ไม่รู้นะลูก ถ้าจะถามเหตุผลที่แท้จริง ..
ในตอนนั้น มันคงเป็นอารมณ์วูบไหวของคนหนุ่มกระมัง
มีคนมาสนใจ ห่วงใยทุกข์สุขของเรา..
.ใครจะไม่อ่อนไหวล่ะลูก อีกอย่าง ชีวิตพ่อกำพร้ามาตั้งแต่เล็ก
มีใครเขาพร้อมจะให้เราฝากผีฝากไข้ พ่อก็ไม่อยากปฏิเสธ" ....
"แต่มันไม่ใช่ความรักหรือพ่อ" พ่อลังเล...
"ไม่รู้สินะ...แต่พ่อยืนยันได้ว่ามันไม่เหมือนกัน แม่ของลูก
อยู่ในความฝันของพ่อตลอดเวลา....
ทำให้พ่อรู้สึกนานาสารพันอย่างที่ไม่มีความรู้สึกนั้นกับใคร...
แต่กับแม่ของพี่ ๆ เป็นความอบอุ่นกระมังลูก เป็นความสบายใจ
ตอนที่แม่ของพี่ ๆ จากไป...
ใช่ว่าพ่อจะไม่เสียใจ..." "หลังจากนั้น พ่อก็เลยส่งพวกพี่ ๆ
ไปฝากให้แม่ช่วยเลี้ยง"
"ใช่ลูก นั่นเป็นการวางแผนของพ่อกับญาติผู้ใหญ่
่ ฝ่ายแม่บางคนที่รู้เห็นเป็นใจ ใคร ๆ ก็รู้ แม่เขาเป็นคน รักเด็ก 
ยิ่งพอเด็กติดเขา
เขาทิ้งไปไม่ได้หรอก ยิ่งตอนนั้นพ่อบอกว่าจะขึ้นไปอยู่บนภูเขา
สักสองสามเดือน" "พ่อไปนานกว่านั้น"
พ่อพยักหน้า "ใช่ พอพ่อกลับมา ก็รู้แล้วว่าแม่เขาทิ้งเด็ก ๆ
ไม่ได้จริง ๆ พี่ ๆ ก็ร้องไห้กระจองอแงจะอยู่กับเขา ในที่สุด พ่อก็ได้ผูกข้อมือกับเขาจนได้"

photo-1465711403138-162e171bb7e4.jpg

 

"แล้วผู้ชายคนนั้นล่ะฮะพ่อ" พ่อเกลี่ยฟืนให้ชิดไฟ ดวงดาวบนฟากฟ้า ....
เปล่งประกายระยิบระยับ ดังดวงตาของใครคอยจ้องมองเราอยู่ 
"ผู้ชายคนนั้นหรือ...เขาก็หายจากแม่ของลูกไป....
แต่พ่อรู้ว่าแม่ไม่เคยลืมเขาหรอกนัค
เขาเก็บจดหมายในกล่องไม้ไว้เสมอ จนบางครั้งพ่อน้อยใจ...
" ผมนึกถึงกล่องใส่จดหมายของแม่..... คงจะเป็นกล่องไม้เก่าคร่ำคร่า 
ผมไม่เคยเห็น
แต่ก็เริ่มนึกภาพแม่ออก แม่คงนั่งอยู่เพียงลำพัง
ในห้องแคบ เปิดกล่องดูจดหมายแต่ละฉบับ....
แม่จะมีน้ำตาไหม ในยามที่ความหลังอยู่ตรงหน้า 
แต่ไม่มีวันเป็นจริงได้อีกต่อไป...
แม่จะเจ็บปวดแค่ไหน เมื่อนึกถึงชีวิตที่ต้องดำเนินไปกับพันธนาการ
พ่อบอกว่า แม่เป็นคนที่มีจิตใจสวยงาม..
.แต่ไยพ่อก็เลือกที่จะทำร้ายคนสวยงาม เพียงเพราะ... ความรักมากมายที่พ่อมี
นอกจากนั้น พ่อยังทำร้ายผู้ชายคนนั้นอีกด้วย... คนที่พ่อเองไม่เคยเห็นหน้า
แต่เขาอยู่ในความฝันของ แม่ตลอดเวลา เติบโตอยู่ในนั้น 
มีชีวิตอย่างเงียบเชียบ....
ให้แม่หล่อเลี้ยงเขาไว้ ด้วยความเศร้าลึกของรักแรก
ผมเริ่มไม่เข้าใจ...ขณะที่ดวงตาวาวแจ่มใสของเธอ
เลือนวูบเข้ามาในความคำนึง.. นึกถึงเสียงใสระรื่นที่เฝ้าย้ำว่าเราเป็นเพื่อน...
รอยเท้าที่ริมฝั่งทะเลของเธอ กับใครอื่นที่ผมไม่รู้จัก...
หรือผมอยากกระทำซ้ำรอยพ่อ พ่อเงียบไปครู่หนึ่ง
ก่อนจะถอนใจเบา มองหน้าผม ในดวงตาพ่อ มีต้นเศร้าหยั่งรากล้ำลึกในนั้น ....
ผมเห็นมันผลิใบ... "นัครู้ไหม อะไรทำที่พ่อเสียใจมากที่สุด"
"อะไรพ่อ" "พ่อเสียใจที่ได้ทำร้ายคนที่มีหัวใจสวยงาม"
พ่อพูดช้า ๆ และชัดเจน " ทำร้ายคนที่พ่อไม่รู้จัก เป็นความผิดนะนัค 
เป็นตราบาปในชีวิตพ่อ
ที่พ่อรู้สึกมาก ๆ เมื่อ แม่ของลูกจากไป......
เขาตายไปโดยไม่เคยได้อะไรสักอย่างที่เขาฝัน 
เขาเผาจดหมายทั้งหมดในวันที่รู้ข่าวว่าผู้ชายคนนั้นแต่งงาน..."
ผมนิ่งเงียบ มองดูบ้านไม้สีน้ำตาลของเราที่ยืนสงบนิ่งเหมือนคนชรา
"เพราะพ่อเป็นคนอ่อนแอ เพราะพ่อเป็นคนไม่กล้า
พ่อเลือกที่จะทำตามใจตัวเองโดยไม่นึกถึงใคร.. พ่อนึกถึงแต่รักของตัวเอง..."
"พ่อจะบอกอะไรผม" "พ่ออยากให้ลูกกล้าห าญ นัค..
กล้าหาญและเข้มแข็งเหมือนแม่ อย่าเอาอย่างพ่อ ให้ลูกมีรักที่ดีงาม....
รักที่นึกถึงคนที่เรารัก อย่าไปคิดถึงเรื่องจะแย่งชิงเขา ถ้าเขามีใจกับใคร"
"แล้ววันหนึ่ง ผมจะต้องอยู่กับคนที่ผมไม่ได้รักไหมพ่อ"
"ชีวิตยังมีรายละเอียดอยู่มากมายเหลือเกินลูก 
บางที...เราอาจจะอยู่กับคนที่เราไม่รักก็ได้
แต่เป็นเพื่อน เราได้ ไม่รู้เหมือนกันนัค... อย่างไรก็ตาม 
ขอแค่ไม่ทำร้ายกันเท่านั้น
" ผมนึกถึงดวงตาของเธออีก.... นึกถึงทุกครั้งเมื่อเราพบกัน นั่นสินะ.
..ผมเป็นคนที่นึกถึงแต่รักของตัวเองไหม....
หลายครั้งแค่ไหน ที่ผมเรียกร้องให้เธอสนใจและเข้าใจผม
แล้วผมก็คิดถึงแม่ ่ คล้ายจะเห็นแววน้ำตาซึ่งล้อแสงไฟ.....
ต่อมา ผมก็นึกถึง ความเจ็บปวดของพ่อ
เราทุกคนต่างมีความเจ็บปวด จะมากหรือน้อยแตกต่างกันไป
แต่จะมีใครบ้างที่เข้มแข็ง .แบกรับความ เศร้าของตัวเองไว้ ไม่โยนให้คนอื่น 
โดยเฉพาะคนที่มีจิตใจสวยงาม ดึกมากแล้ว ลมหนาวพัดผ่านเข้ามาตามรอยแยกของช่องไม้ 
บ้านของเราเก่าคร่ำคร่าและเริ่มชราลงไปทุกที 
ผมนอนอยู่ในห้องที่เคยนอนมาตั้งแต่เล็ก....
มีหน้าต่างอยู่บานหนึ่งแต่คืนนี้ผมปิดเอาไว้ ด้วยอากาศเหน็บหนาวเกินกว่า...
จะนอนมองดาว ผมคิดถึงแม่ คิดถึงอ้อมแขนโอบเอื้อเมื่อเยาว์วัย 
ที่นี่เคยมีแสงแดดสดใสสว่าง...มีรอยยิ้มปิติยินดี 
มีบทเพลงพื้นบ้านจากเสียงของพ่อร้องคลอซึ่งของพี่ชาย 
แทรกเสียงหัวเราะของน้องสาว
ผมเคยคิดว่าความรักเป็นของพวกเราเสมอ......
ไม่เคยนึกเลยว่า ใต้ประกายแสงอบอุ่น... ของดวงตะวัน มีสายฝนหลั่งรินตลอดมา
แล้วผมก็นึกถึง เธอ..... ป่านนี้เธออาจกำลังพูดคุยกับใคร 
นึกถึงบางค่ำคืนที่ถนนหลับใหล..
ผมเคยเดินเตร็ดเตร่หาตู้โทรศัพท์ เพื่อจะโทร. ไปบอกว่า ขอความรักให้ผมบ้าง
ผมรู้แล้ว.ว่าควรทำอย่างไร ผมรู้ใจตัวเองแจ่มชัด หลังจากพูดคุยกับพ่อ
ผมจะไม่มีวันทำร้ายเธอ.... เพียงเพราะต้องการให้เธอมารักผม
ผมจะเป็นเพื่อนที่ดีของเธอ... ตราบใดที่เธอยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้
เพราะเธอเป็นแสงจันทร์ที่มีค่า.......
ในยามดึกสงัดโลกหลับใหล เธอเคยปลูกดอกไม้เล็ก ๆ ดอกหนึ่งให้ตื่นขึ้น
ทุกวันนี้ ดอกไม้นั้นยังอยู่ ดอกไม้ไมตรี ความหมายที่ทำให้ผมเชื่อมั่นทุกครั้ง
ยามผมต้องการลืมเรื่อง หนหลัง อยากจะหนีไปให้ไกลสุดแสนจากแม่น้ำความเศร้า...
ผมจะรักเธอ เหมือนที่พ่อบอกผม รักที่สวยงาม.........
เพื่อคนที่มีใจดวงสวยงาม แม้ในบางค่ำคืนผมอาจจะต้องร้องไห้
ร้องไห้กับความรักที่สวยงาม ........

 

ความรักกับการปล่อยวาง

photo-1526736054478-78a346854f1b.jpg

มีชายหญิงคู่หนึ่งรักกันมาก  คบกันมา 3 ปี ทั้ง 2 ตกลงจะแต่งงานกัน 
เมื่อกำหนดวันเรียบร้อย  ฝ่ายชายเองก็รอคอยวันที่จะแต่งงาน 
ต่อมาไม่นานฝ่ายชายรู้ข่าวว่า  คู่รักของตนแต่งงานกับคนอื่นอย่างกะทันหัน 
โดยฝ่ายหญิงเองก็เต็มใจ  ไม่ได้ถูกบังคับแต่อย่างใด 
เมื่อได้ทราบข่าว  เขาทั้งงงและเสียใจมาก ร้องไห้ไม่กินไม่นอน  ไม่นานก็ป่วยหนักเพราะตรอมใจ   
เวลาผ่านไป  ฝ่ายชายป่วยหนักขึ้นเรื่อยๆไปหาหมอเท่าไหร่ก็ไม่ดีขึ้น 
ขณะที่นอนซมอยู่ที่บ้านนั้น  มีหลวงตาแก่ๆผ่านมา เมื่อมาถึงหลวงตาหยุดอยู่ที่หน้าบ้าน  
แล้วมองเข้าไปในบ้านจึงเคาะประตู เด็กรับใช้ออกมาเปิดประตูพบว่า  เป็นพระ  
จึงบอกว่า "ไม่ทำบุญนิมนต์ข้างหน้า" หลวงตายิ้มอย่างมีเมตตาแล้วพูดว่า 
"อาตมาไม่ได้มาบิณฑบาต ในบ้านมีคนป่วยใช่มั๊ย อาตมาพอมีความรู้ทางด้านการแพทย์นิดหน่อย ไม่รู้จะพอช่วยได้รึปล่าว"
เด็กรับใช้ได้ฟังก็อึ้งแต่ก็บอกว่า ตัดสินใจเองไม่ได้ ต้องขอไปถามเจ้านายก่อน 
เด็กรับใช้เดินเข้าไปในบ้านถามเจ้านาย เจ้านายตอบอย่างตัดรำคาญว่า"อยากเข้ามา  ก็เข้ามา! "  
เมื่อหลวงตาเข้าไปพบที่ห้องนอนพบว่า ชายคนดังกล่าวนอนอย่างหมดอาลัยตายอยากอยู่บนเตียง 
สีหน้าซีดเซียว  ร่างกายซูบผอมประหนึ่งครึ่งคนครึ่งศพ 
เด็กรับใช้นำน้ำมาถวายหลวงตา  พร้อมจัดเก้าอี้ถวายข้างๆเตียงของชายคนนั้น 
หลวงตายิ้มแล้วพูดว่าอาการหนักเลยนะ ชายคนนั้น  นิ่งเงียบไม่สนใจในสิ่งที่หลวงตาพูด 
หลวงตาตรวจอาการพอเป็นพิธี  จึงกล่าวว่า "โทรมมากเลยนะ" ชายคนนั้นไม่สนใจ 
หลวงตาบอกว่า"ไม่เชื่อ  ลองมองที่กระจกสิ"ชายคนนั้นไม่สนใจ  
แต่ขณะที่หางตาชายไปที่กระจกแต่งตัวในห้องนอน เขามองเห็นภาพของคนที่รักอยู่ในนั้น  
ไม่นานภาพของคนรักก็ค่อยๆจางหายไป กลายเป็นภาพทิวทัศน์ชายทะเล   
ที่ชายทะเลแห่งนั้นเงียบสงบ ไม่มีคนผ่านไปมา ขณะที่ชายคนที่ป่วยนั้น  มองภาพในกระจกด้วยความสนใจนั้น 
เขาพบว่า  มีศพหญิงสาวนอนเปลือยกายอยู่ที่ชายหาด 
เวลาผ่านไปสักครู่ มีชายคนหนึ่งเดินผ่านมา เขามองเห็นศพหญิงคนนั้นด้วยความรังเกียจ  แล้วเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว 
ต่อมาพักใหญ่มีชายอีกคนหนึ่งเดินผ่านมา  เขามองเห็นศพนั้น เขาสงสารจึงถอดเสื้อนอกออกมาคลุมร่างของหญิงคนนั้น  แล้วเดินจากไป 
พักใหญ่ๆอีกเช่นกัน มีชายอีกคนเดินผ่านมา เขาพบคนนอนมีผ้าคลุมอยู่  จึงเปิดออกดู  เมื่อพบว่า  เป็นศพ ด้วยใจสงสาร จึงจะฝังให้เรียบร้อย แต่ก็ไม่มีเครื่องมือจะขุด เขาจึงตัดสินใจใช้มือทั้ง 2 ข้างๆ ค่อยๆกอบทรายขึ้นมา เขาทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนเย็น  
พอได้หลุมใหญ่พอสมควร จึงได้ฝังศพผู้หญิงคนนั้นเรียบร้อยแล้วจากไป   
จากนั้นภาพในกระจกก็เปลี่ยนเป็นภาพของศพหญิงคนนั้น และก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นภาพของหญิงคนรัก 
เขาได้เห็นก็ตกใจ พอสักพัก ก็ปรากฏเป็นภาพชายคนที่ 2 แล้วก็ค่อยๆจางหายไป  เหลือแต่เงาของตัวเองในกระจก   
ทันใดนั้นหลวงตาพูดว่า " ทีนี้เข้าใจรึยัง  ศพนั้นคือคู่รักของโยม ชายคนที่ช่วยฝังศพเธอ  ผูกวาสนากับเธอหนึ่งชาติ 
ชาตินี้เธอเลยแต่งงานกับเขา ส่วนโยมช่วยคลุมศพเธอ จึงผูกวาสนา 3 ปี ตอนนี้ครบ 3 ปี วาสนาสิ้นแล้วก็ต้องจากกัน"  
เมื่อชายคนนั้นฟังจบก็กระอักเลือดออกมา เด็กรับใช้ตกใจมาก หลวงตายิ้มแล้วบอกว่า "โยมรอดแล้ว  
เมื่อกี้โยมกระอักเลือดเอาเลือดเสียออกมาแล้ว" ต่อมาไม่นานชายคนนั้นก็ได้ออกบวชในที่สุด ................................................  
*******************************************

คนเราเจอกัน  ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ความสัมพันธ์ พ่อ , แม่ , พี่ , น้อง , ญาติ , เพื่อน , ศัตรู , คนรักฯลฯ ไม่ใช่ของเลื่อนลอย เมื่อมีวาสนา  ไม่ต้องเรียกร้อง  ถึงเวลาก็มาเจอกัน เมื่อสิ้นวาสนา  ก็ต้องจากกัน  รั้งยังไงก็ไม่อยู่ ในตอนที่ยังไม่จากกันนี้ 
คุณทำได้ทำดีต่อคนของคุณหรือยัง เพราะถึงเวลาที่ต้องจากกัน  ไม่ว่าคุณจะมีเงินหรืออำนาจล้นฟ้า  ก็เรียกมันกลับคืนมาไม่ได้ ทำดีต่อกันไว้ดีกว่าเพราะไม่มีใครรู้ว่า เราจะต้องจากกันเมื่อไหร่

เรื่องเศร้า ... จากเรื่องราวนานมาแล้ว

daiga-ellaby-718859-unsplash.jpg

สถานที่ธรรมดาแห่งหนึ่ง ในเมืองหลวงที่แสนแออัด
มีหมู่บ้านทาวน์เฮ้าส์ตั้งอยู่
บ้านหลังหนึ่งที่ต้นซอย
มีสามีภรรยาคู่หนึ่งอาศัยอยู่
ทั้งคู่แต่งงานกันมาได้5ปี ยังไม่มีลูก
ทุกอย่างในชีวิตคู่ดำเนินไปอย่างเรียบง่าย
ไม่มีอะไรหรูหรา
ไม่มีการฮันนีมูนต่างประเทศ
ไม่มีการฉลองครบรอบงานแต่งงานใต้แสงเทียน
สามีเป็นพนักงานเงินเดือนธรรมดาที่ต้องไปทำงานตั้งแต่เช้าตรู่
กลับบ้านมาก็เย็น
ฝ่ายภรรยาไม่ได้ทำงานที่ไหน เธออยู่ดูแลบ้าน
ทุกๆวันสามีจะกล่าวอรุณสวัสดิ์เธอตอนเช้าทุกเช้าก่อนไปทำงาน
และมากล่าวราตรีสวัสดิ์กับเธอทุกคืน
อยู่มาวันหนึ่ง เธอคิดว่าเธอน่าจะสามารถแบ่งเบาภาระของสามีของเธอลงไปได้บ้าง
เธอจึงไปหางานทำ
หลังจากพยายามอยู่หลายวัน
เธอก็ได้งานทำที่บริษัทเล็กๆแห่งหนึ่ง

ทุกอย่างดูเหมือนว่าจะดำเนินไปได้ด้วยดี
แต่แล้ว....
สิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น...ก็ได้ย่างกรายเข้ามาในชีวิตของเธอ

หญิงสาวประสบอุบัติเหตุระหว่างทำงาน
ถึงแม้ว่าจะไม่มีอันตรายถึงชีวิต
แต่เธอต้องสูญเสียตาทั้งสองข้าง
หญิงสาวรู้สึกหมดความหวังในชีวิต
แต่เขาก็ได้ชายหนุ่มผู้เป็นสามีที่คอยให้กำลังใจเธอ
ช่วงแรกๆของการใช้ชีวิต เธอมีความลำบากมาก
ทั้งการเดิน การรับประทานอาหาร
ทุกๆอย่างจะมีสามีของเธอคอยช่วยเหลืออยู่เสมอ
เวลาผ่านไปหลายเดือน
หญิงสาวเริ่มสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้คล่องขึ้น
และเธออยากหางานทำ
ซึ่งสามีก็พยายามทัดทาน และบอกว่าเขาจะดูแลเธอเอง
แต่เธอไม่ฟังและไม่อยากเป็น คนที่ได้แต่แบมือรับอย่างเดียว

ไม่กี่วัน
เธอก็ได้รับคำตอบจากสำนักงานจัดหางาน
โดยงานที่เธอได้รับก็เป็นงานที่เหมาะสมกับคนตาบอด และความสามารถของเธอ
แต่สถานที่ทำงานนนั้นอยู่ไกลมาก
สามีของเธอก็ยืนกรานว่าจะไปส่ง
แต่เธอเห็นว่ามันไกลมาก
และจะทำให้สามีของเธอไปทำงานไม่ทันเสียเปล่าๆ
จึงได้ตอบปฏิเสธ
แต่เขาก็ยังจะยืนยันคำเดิม
เธอจึงยอมทำตาม โดยมีข้อแม้ว่า ถ้าเขาเห็นว่าเธอไปเองได้เมื่อใหร่ให้เลิกติดตามทันที
ซึ่งเขาก็รับคำ
ทุกๆวันสามีของเธอจะนั่งรถเมล์ไปกับเธอ
ทั้งตอนไป และกลับ
จากวันเป็นอาทิตย์ จากอาทิตย์เป็นเดือน
เขาก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะเลิกไปรับ-ไปส่ง
จนครั้งหนึ่ง ทั้งสองทะเลาะกันอย่างรุนแรง
เพราะเธอไม่อยากจะเป็นตัวถ่วงให้กับเขา
เพราะเธออยากจะให้เขาเห็นว่า เธอสามารถอยู่ได้
และตอนนี้ เธออยากแสดงให้เขาเห็นว่าเธอสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งใคร
ตอนนั้นเธอทำไปเพราะด้วย ฑิฐิ ที่มี
จนวันต่อๆมา
เธอก็พบว่า สามีของเธอไม่ได้ไปรับ-ไปส่งเธออีก
เมื่อเธอกลับบ้านคำว่าราตรีสวัสดิ์ที่เคยมีให้กลับหายไป
ทุกสิ่งเป็นเหมือนกับว่าเธอไม่มีตัวตนในชีวิตของเขา
หญิงสาวเสียใจมากกับสิ่งที่เธอทำไป แต่เธอก็ยังไม่ได้คุยกับสามีของเธอตรงๆ
อยู่มาวันหนึ่ง เพื่อนร่วมงานของเธอ มาบอกเธอว่า
เห็นสามีของเธออยู่กับหญิงสาวหน้าตาดีคนหนึ่งในร้านขายเครื่องประดับ
มันทำให้เธอตกใจและวิตกมาก
หลังจากวันนั้น เธอไปทำงาน ครั้งนี้เธอได้พบกับคำกล่าวอรุณสวัสดิ์กับสามีของเธอเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน
มันทำให้เธอชะงักและคิดจะถามเรื่องที่คาอยู่ในใจ
เรื่องที่เขา...ไปมีผู้หญิงคนอื่น...เรื่องที่เขาไม่ได้คอยดูแลเธอ...
แต่เธอก็ไม่กล้าที่จะถาม

หลังจากเลิกงาน หญิงสาวเดินทางกลับบ้านตามเวลาปรกติ
แต่คราวนี้แตกต่างกว่าที่เคย
เพราะเธอจะต้องข้ามถนนโดยไม่ได้ใช้สะพานลอย เพราะมันต้องปิดซ่อม
แต่เธอก็ไม่รู้สึกเป็นห่วงนักเพราะใกล้ๆกันนั้นมีตำรวจจราจรคอยโบกรถอยู่ไม่ห่าง
และคอยส่งเสียงบอกให้ข้ามเมื่อรถหยุดอยู่แล้ว
ระหว่างที่เธอกำลังเดินข้ามอยู่กลางถนน เสียง ของล้อยางที่บดถนนดังขึ้นมา
รถยนต์คันหนึ่งเกิดเบรกไม่ทำงานและพุ่งตรงเข้ามาหาเธอ
เพราะเธอตาบอดจึงได้ยินแค่เพียงเสียงที่ดังบาดแก้วหู
และรับรู้ได้เพียงความรู้สึกกระแทกอย่างแรกที่แผ่นหลัง
และเสียงกระแทกอย่างแรงของรถยนต์
และเธอก็รู้สึกอีกครั้งว่าตนเองนอนอยู่บนพื้นฟุตบาท
เธอถูกผลักด้วยมือของใครบางคนอย่างแรงจนเธอล้มไปข้างหน้าและพ้นแนวที่รถแล่นผ่านมาพอดี

ผู้ที่สัจจรไปมาเข้ามาดูอาการเธอและพบว่าเธอมีแค่รอยถลอกเล็กน้อย
และเธอก็บอกว่าไม่จำเป็นต้องไปโรงพยาบาล พลางจะหันไปขอบคุณคนที่ช่วยเธอ
แต่รอบๆนั้นก็มีเสียงอึกทึกเกินกว่าเธอจะรับรู้ถึงสิ่งรอบข้างได้อย่างชัดเจน
เมื่อเธอฟังเสียงนาฬิกา ก็พบว่าเย็นมากแล้วจึงรีบเดินทางกลับบ้าน
เมื่อมาถึง
ก็พบว่าสามีของเธอยังไม่กลับ
เธอรู้สึกแปลกใจเพราะปรกติสามีของเธอน่าจะกลับมาก่อน
แต่เธอก็ไม่คิดอะไร
เธอนั่งรอสามีของเธอ รอแล้วรอเล่า แต่เขาก็ไม่กลับมาสักที
เธอได้แต่น้อยใจ คิดว่าเขาคงไปอยู่กับแฟนใหม่
แฟนใหม่ที่สวย ดูแลเขาเป็นอย่างดี
ใครจะมาชอบคนตาบอดและเอาแต่ใจอย่างเธอ
เช้าวันรุ่งขึ้น สามีของเธอก็ยังไม่กลับมา
เธอรู้สึกแปลกใจ เพราะเขาไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน
ความคิดของเธอพาเธอไปต่างๆนาๆ
เขาอาจไปอยู่กับผู้หญิง"คนนั้น"แล้วก็ได้
เธอคิดวกไปวนมาระหว่างที่นั่งรถเมล์คันเดิมที่นั่งอยู่เป็นประจำทุกวัน
"เก็บเงินครับ เก็บเงิน" เสียงของกระเป๋ารถเมล์ดังมาจากทางท้ายรถ
เธอควานหาเหรียญเพื่อที่จะจ่ายค่ารถพลางลูบดูหน้าเหรียญเพื่อคำนวณเงินที่จะจ่าย
ระหว่างนั้นกระเป๋ารถเมล์ก็เข้ามาทักและพูดคุยด้วย
"วันนี้แปลกนะครับ" เขาพูด "ปรกติแล้วผมจะเห็นสามีของคุณนั่งอยู่เบาะข้างหลังคุณแทบทุกวันนี่ครับ"
เมื่อเธอได้ยิน ก็แทบไม่เชื่อหูตัวเองและพยายามซักไซ้กระเป๋าจนได้ความ
สามีของเธอจะคอยตามมาดูแลเธอแทบทุกเช้า แล้วเขาก็จะตามมาคอยดูแลเธออีกทุกๆเย็น
ทั้งๆที่ เขาก็ทำงานอยู่คนละที่กับเธอ และที่ทำงานของเขาก็ห่างจากที่ทำงานของเธอมาก

เมื่อเธอเดินทางกลับบ้าน ก็พยายามใช้โสตสัมผัสหาสามีของเธอ และขอให้กระเป๋ารถเมล์ช่วยมองหา "เขา"
แต่ก็ไม่พบ
เมื่อเธอกลับมาถึงบ้าน ก็พบว่าบ้านนั้นปิดสนิท
สามีของเธอยังไม่กลับ
เขาไม่เคยหายไปนานขนาดนี้โดยไม่ติดต่อมา "ไปที่ไหน" เป็นคำถามแรกที่ผุดขึ้นมา
เธอเริ่มกระวนกระวาย ความเป็นห่วง ความกังวลแล่นเข้ามาอย่างไม่เคยพบมาก่อน

ระหว่างนั้น เสียงโทรศัพท์ ก็ดังขึ้น มาในความเงียบ
ในโทรศัพท์มีเสียงชายคนหนึ่ง พูดอยู่
เขาบอกว่าเขา เป็นตำรวจ
และสิ่งที่เธอได้ยินนั้น มันทำให้เธอหมดแรง
ทางตำรวจได้โทรศัพท์มาแจ้งว่า สามีของเธอประสบอุบัติเหตุเมื่อวาน ตอนนี้ยังไม่ได้สติ
เมื่อเธอถามถึงอาการ เขาก็ตอบได้แต่เพียงว่าตอนนี้ยังอยู่ในห้องไอซียู

เธอรีบเดินทางไปอย่างรวดเร็วที่สุด
เมื่อมาถึงที่โรงพยาบาล เธอก็รีบสอบถามถึงห้องไอซียูและเดินทางไปทันที
ข้างในห้อง เธอพบกับเสียงพึมพำของคนราวๆ2-3คน
พยาบาลได้พาเธอไปที่ข้างเตียงผู้ป่วยและบอกกับเธอว่า นี่คือสามีของเธอ
ร่างของชายหนุ่มนอนนิ่งอยู่บนเตียงราวกับไร้ชีวิต มีแต่เสียงสัญญาณของเครื่องตรวจชีพเท่านั้นที่บ่งบอก
ว่าเขายังมีชีวิตอยู่
ข้างๆเตียงนั้นเขาพบว่าชายอีกคนที่ยืนอยู่ข้างเตียงนั้น เป็นตำรวจ
เธอจึงได้สอบถามเหตุที่เกิดขึ้นกับสามีของเธอ
และสิ่งที่เธอได้รับรู้ก็แทบจะทำให้เธอหมดสติ
สามีของเธอพุ่งข้ามถนนไปเพื่อช่วยผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังจะถูกรถชน ทำให้เขาเข้ามาปะทะกับรถที่พุ่งเข้ามาอย่างแรง
และสถานที่ๆเกิดเหตูก็คือถนนเส้นเดียวกันกับเส้นที่เธอเกือบถูกรถชนนั่นเอง
ความคิดของเธอแล่นผ่านเข้ามาเร็วมาก เหตุการณ์ต่างๆปะติดปะต่อกัน
สามีของเธอคอยเฝ้าตามดูและเธอตลอดเวลา และตอนที่เธอกำลังจะข้ามถนน เขาเห็นว่าเธอกำลังจะโดนรถชนเลยเข้ามาช่วยเธอเอาไว้
...เป็นเขาเองเหรอ...
เธอหมดแรงและไม่สามารถที่จะกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาได้ เธอซบลงไปบนเตียงแล้วร้องไห้ออกมา ให้กับสามีของเธอที่เข้ามาช่วยชีวิตของเธอไว้
คนที่เธอไม่แม้จะมีโอกาสได้ขอบคุณ...


วันรุ่งขึ้นหญิงสาวขอลางาน เธอเดินเข้าไปในห้องของผู้ป่วยหนัก และพบว่า สามีของเธอไม่ได้อยู่บนเตียงคนไข้
เธอตกใจเป็นอย่างมากและพยายามสอบถามพยาบาลที่ดูแล
...สามีของเธอตอนนี้กำลังอยู่ในห้องผ่าตัด...
อาการของเขาทรุดหนักมาก
และ จากอาการตอนนี้ ต้องขอให้ญาติทำใจเผื่อไว้ด้วย...

เธอได้แต่นั่งรอ...รอ...รอ..
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าเหลือเกิน
หลังจากการรอคอยอันยาวนาน
เสียงของประตูห้องผ่าตัดก็ดังขึ้น
เธอรีบเข้าไปสอบถามอาการทันที
แต่สิ่งที่เธอได้ยิน...
ทำให้เธอหมดแรง
และทรุดลงกับเก้าอี้หน้าห้องผ่าตัดนั้น
"หมอต้องของแสดงความเสียใจด้วยครับ เราพยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว....แต่....."
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป ครั้งนี้เวลาช่างไหลผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับสายน้ำที่เชี่ยวกราก
เธอนั่งอยู่หน้าห้องผ่าตัดนั้นเอง ไร้การตอบสนองใดๆ
เพราะตอนนี้ คนที่เธอรักที่สุดได้จากเธอไปแล้ว

"ขอโทษนะคะ" เสียงของผู้หญิงดังขึ้นมาในความเงียบ
"คุณเป็นภรรยาของผู้เสียชีวิตใช่ไหมคะ" เสียงนั้นยังถามเธออีก
ถ้าใช่แล้วจะทำไม
ชีวิตเธอไม่เหลืออะไรอีกแล้ว...คนที่คอยให้กำลังใจเธอ...ดูแลเธอ...คนที่เธอรักที่สุด...ได้จากเธอไปแล้ว ตอนนี้เธอไม่เหลืออะไรอีก
"ใช่ค่ะ...ฉันเอง" เธอตอบไปเบาๆอย่างไม่ใส่ใจ
"ถ้าอย่างนั้นเชิญทางนี้หน่อยนะคะ " ผู้หญิงคนนั้นพูดขึ้นพลางประคองเธอให้ลุกขึ้นยืนพลางนำเธอไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง
"สามีของคุณได้ทำการบริจาคดวงตาไว้ เมื่อเขาเสียชีวิต เราต้องทำการผ่าตัดเพื่อ มอบดวงตาของเขาให้แก่ผู้รับบริจาคนะคะ"
แล้วยังไงล่ะเขาตายไปแล้วนี่นา
"แล้วผู้รับบริจาที่เขามอบให้ก็คือ คุณค่ะ..."

หนึ่งปีต่อมา...

หญิงสาวคนหนึ่งกำลังก้มมองรูปภาพรูปหนึ่งบนกำแพงวัด
สีหน้าของเธอดูเศร้าหมองราวกับว่าเธอคิดถึงคนๆนั้นที่จากไปราวกับเขาเป็นคนที่สำคัญสำคัญชีวิตของเธอ
ใช่....เขาเป็นคนสำคัญ
นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อน ที่เปลือกตามีรอบแผลเป็นเล็กๆยาวจากขอบตาซ้ายไปถึงตาขวา ที่ตอนนี้รอยจางลงไปมาแล้วน้องมองลองไปยังภาพ
เล็กๆที่ริมกำแพงอุโบสถ รูปของชายที่เธอรักมากที่สุด ในภาพนั้นเขามีรอยยิ้มที่สดใส
รอยยิ้มที่เธอเห็นทุกเช้าๆ รอยยิ้มที่มอบให้แก่เธอยามเธอเข้านอน
"มันสวยไหมล่ะ" หญิงสาวเอ่ยขึ้นมาเบาๆ พลางยกแขนขึ้นมา ให้เห็นสร้อยข้อมือสีเงินที่มีจี้ห้อยน่ารัก
"ขอบคุณมาก....นะ...ที่ซื้อให้ "น้ำเสียงของเธอเริ่มสั่นเครือ หยาดน้ำเริ่มเอ่อล้นในเบ้าตา พลางพูดต่อไปด้วยเสียงกระท่อนกระแท่น...
"ทั้งๆที่ปรกติเธอก็ไม่เคยเข้าร้านขายเครื่องประดับเลยนี่นา....นี่ถ้าไม่ได้เพื่อนผู้หญิงของเธอมาช่วยเลือกให้ไม่รู้จะได้อันนี้หรือ...เปล่า... "
เมื่อพูดจบน้ำเสียงของเธอขาดห้วง พลางมองไปยังสายสร้อย น้ำตาที่อยู่ในนัยน์ตา ก็ไหลออกมาราวกลับจะพยายามดึงทุกสิ่งทุกอย่างให้ไหลย้อนกลับไปในวันนั้น
วันที่เขาและเธอยังอยู่ด้วยกัน ทานอาหารด้วยกัน มีรอยยิ้ม และมีความรักที่มอบให้กันและกัน 
"มันเหมาะมากเลย...ก็เคยบอกแล้วนี่น่าว่าฉันชอบพลอยสีเดียวกับสีตาของคุณ " เธอพูดอย่างช้าๆปนเสียงสะอื้นไห้ แขนข้างที่ประดับด้วยสายสร้อย
ยกขึ้นเช็ดน้ำตา น้ำตาจากดวงตาสีน้ำตาล เช่นเดียวกับพลอยเม็ดเล็กๆบนจี้ ที่ยามนี้ ต้องแสงอาทิตย์ระยิบระยับ

วันนี้สินะ
วันนี้ที่เมื่อหนึ่งปีที่แล้ว ที่เธอต้องสูญเสียสามีของเธอไป วันที่คนที่เธอรักที่สุดต้องจากเธอไปอย่างไม่มีวันกลับ

หญิงสาวหันไปหยิบดอกไม้ที่จัดแต่งขึ้นมาอย่างสวยงามช่อหนึ่งขึ้นมา พลางวางลงไปไม่ห่างจากภาพสามีของเธอนัก
เสียงสะอื้นไห้เริ่มจางหายไปแล้ว แต่หยาดน้ำตาก็ยังคงอยู่ในสองเบ้า มือของเธอสัมผัสที่รูปบนแผ่นหินอย่างโหยหา 
ริมฝีปากของเธอเผยอขึ้นเล็กน้อยก่อนที่จะกล่าวประโยคสั้นๆ ก่อนที่น้ำตาที่ยังคนไม่จางหาย...
...จะอาบลงบนสองแก้ม...

"สุขสันต์...วันครบรอบแต่งงานค่ะ..."

คุณผู้หญิงอยากสวยเพราะอะไรครับ?

ผมสงสัยขึ้นมาเลยลองคุยกับผู้หญิงบางคนเรื่องนี้ คำตอบที่ได้ไม่ช่วยสนองต่อมความสงสัย แต่ไปกระตุ้นให้มันโตขึ้น เพราะมันหลากหลายเหลือเกิน

เพราะมีบางคนถึงกับปฏิเสธว่า ไม่นะ ฉันไม่เคยคิดจะแต่งตัวให้ผู้ชายมอง ฉันอยากสวยของฉันเอง
อีกคนกลับบอกว่า ฉันแต่งเพราะฉันรู้ว่าผู้ชายชอบคนสวย ถ้าวันใหนไม่ต้องเจอผู้ชายเลยฉันก็ใส่เสื้อยืดขาดๆกะกางเกงเจเจ
บางคนบ่นให้ฟังว่า ทุกวันนี้อ้วนและโทรม สงสารแฟนที่ต้องมาเดินควง

เลยอยากรู้ครับว่าอันใหนเป็นเหตุผลหลักๆ ของแต่ละคนครับ

1.อยากสวย เพื่อแฟน อยากมอบของขวัญให้แฟนด้วยการเป็นคนสวยน่ารักให้แฟนภูมิใจ

2.อยากสวยกว่าเพื่อน หรือผู้หญิงคนอื่น เพื่อแข่งขันกัน ไม่ยอมน้อยหน้า

3.อยากสวย เพื่อตัวเอง มีความมั่นใจ

4.อยากสวย เพราะอยากสวย ผู้หญิงกับความสวยเป็นของคู่กัน

5.อยากสวย เพื่อดึงดูดเพศตรงข้าม (เพศตรงข้ามมองว่าสวยแล้วรู้สึกดี ไม่จำเป็นว่าเราต้องโสด)

6.อยากสวย เพราะเชื่อว่าความสวยก่อให้เกิดอภิสิทธิ์ในชีวิต

7.อื่นๆ ไม่ใช่ที่ว่ามานี้และฉันขี้เกียจระบุ

https://pantip.com/topic/31264146
Kalaeleo
20 พฤศจิกายน 2556 เวลา 01:06 น.

20-jun.jpg

ทำไมชีวิตคนบางคนถึงมีความสุขอยู่ตลอดเวลา ขณะที่บางคนทุกข์อยู่ตลอด?

[[ทำไมชีวิตคนบางคนถึงมีความสุขอยู่ตลอดเวลา ขณะที่บางคนทุกข์อยู่ตลอด?]]

คนคนนึงไม่เคยต้องพยายามอะไร ก็มีความสุขอยู่ตลอดเวลา งานดี การงานรุ่ง ไม่เคยรู้จักคำว่าเสียใจคืออะไร

ขณะที่อีกคนพยายามทุกอย่าง แต่กลับเสียใจอยู่ตลอดเวลา และชีวิตก็ตกต่ำลงเรื่อยๆ

ไม่เข้าใจเลย เพราะอะไร?

ไม่ว่าคนที่สองจะทำดีแค่ไหน ก็ยังแพ้คนแรกอยู่ตลอดเวลา ไอ้ความรู้สึกว่าตัวเองแพ้นี่แหล่ะ ที่ทำให้ทรมานเหลือเกิน

รู้สึกตัวเองไร้ค่าจนอยากจะตายๆไปซะ

เคยรู้สึกกันบ้างมั้ย ว่าเกิดมาเพื่อแพ้คนคนนี้ ไม่ว่าจะมุมไหน

ไม่รู้จะปล่อยวางยังไงแล้ว

บัวบุษบา 
22 พฤศจิกายน 2556 เวลา 18:00 น.
https://pantip.com/topic/31276845

23-jun01.jpg